วันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2554
วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2554
อังกฤษ
อังกฤษ (อังกฤษ: England) หรือในอดีตเรียกว่า แคว้นอังกฤษ เป็นดินแดนส่วนหนึ่งบนเกาะบริเตนใหญ่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปยุโรป และเป็นดินแดนส่วนที่ใหญ่ที่สุดในจำนวน 4 แคว้น คือ อังกฤษ สกอตแลนด์ เวลส์ และไอร์แลนด์เหนือ ของสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ อังกฤษมีประชากรมากที่สุดและหนาแน่นที่สุด โดยมีประชากรถึงร้อยละ 85 ของประเทศ อังกฤษมีอาณาเขตติดต่อกับอีกสองแคว้นที่อยู่บนเกาะบริเตนใหญ่ด้วยกัน คือ เวลส์ทางด้านตะวันตก และสกอตแลนด์ทางด้านเหนือ พรมแดนนอกเหนือจากนี้แล้วจะติดกับทะเลเหนือ ทะเลไอริช มหาสมุทรแอตแลนติก และช่องแคบอังกฤษ เมืองหลวงของอังกฤษคือกรุงลอนดอน ซึ่งเป็นเมืองหลวงของสหราชอาณาจักรด้วย
คำว่า "อิงแลนด์" (England) ซึ่งเป็นชื่อในภาษาอังกฤษของอังกฤษในปัจจุบัน ได้มาจากชื่อ "อังเกิล" (Angles) ซึ่งเป็นชนเผ่าหนึ่งในบรรดาชนเผ่าเยอรมันหลายเผ่าที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในดินแดนนี้ ตั้งแต่ราวคริสต์ศตวรรษที่ 5 ถึง 6 โดยมาจาก "Engla Land" และกลายมาเป็น "England" ในปัจจุบัน
ถึงแม้ว่าอังกฤษจะถูกนิยมเรียกว่าประเทศ ด้วยเหตุผลทางประวัติศาสตร์ แต่หลังจากที่มีการสถาปนาสหราชอาณาจักรขึ้นเป็นประเทศในปี พ.ศ. 2250 แล้วนั้น แคว้นอังกฤษก็ไม่ถือว่าเป็นรัฐอิสระต่างหากอีกต่อไป ทว่าในประเทศไทย ยังมีการใช้คำว่า' อังกฤษ' แทนสหราชอาณาจักรอยู่โดยทั่วไป
คำว่า "อิงแลนด์" (England) ซึ่งเป็นชื่อในภาษาอังกฤษของอังกฤษในปัจจุบัน ได้มาจากชื่อ "อังเกิล" (Angles) ซึ่งเป็นชนเผ่าหนึ่งในบรรดาชนเผ่าเยอรมันหลายเผ่าที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในดินแดนนี้ ตั้งแต่ราวคริสต์ศตวรรษที่ 5 ถึง 6 โดยมาจาก "Engla Land" และกลายมาเป็น "England" ในปัจจุบัน
ถึงแม้ว่าอังกฤษจะถูกนิยมเรียกว่าประเทศ ด้วยเหตุผลทางประวัติศาสตร์ แต่หลังจากที่มีการสถาปนาสหราชอาณาจักรขึ้นเป็นประเทศในปี พ.ศ. 2250 แล้วนั้น แคว้นอังกฤษก็ไม่ถือว่าเป็นรัฐอิสระต่างหากอีกต่อไป ทว่าในประเทศไทย ยังมีการใช้คำว่า' อังกฤษ' แทนสหราชอาณาจักรอยู่โดยทั่วไป
สังคม
การพัฒนาสังคม หมายถึง..
การพัฒนาสังคม
ความหมายของการพัฒนาสังคม
การพัฒนาสังคม หมายถึง การกระทำเพื่อมุ่งปรับปรุงส่งเสริมให้คนที่อยู่ร่วมกัน มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ทั้งในด้าน
วัตถุและจิตใจอันจะทำให้การดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันนั้นมีความเจริญรุ่งเรืองและสงบสุขแต่การที่บุคคลจะดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข
จะต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่างประกอบกัน อย่างน้อยที่สุดจะต้องมีปัจจัยขั้นพื้นฐานที่ดีพอสมควร กล่าวคือ มีที่อยู่อาศัย มีอาหารเพียงพอ
แก่การเลี้ยงชีพ มีเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่มสมควรแก่สภาพและฐานะ เวลาเจ็บป่วยควรจะได้รับการรักษาพยาบาล มีอาชีพมั่นคง มีรายได
้เพียงพอแก่ค่าใช้จ่ายในการครองชีพ มีความรักใคร่สมานสามัคคีกันของสมาชิกในสังคมและปราศจากภัยคุกคามจากโจรผู้ร้าย ฯลฯ
สิ่งเหล่านี้จะเกิดมีขึ้นได้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย โดยอาศัยวิธีการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้าช่วย เพื่อให้เกิด
ความเจริญก้าวหน้าและอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
ความสำคัญของการพัฒนาสังคม
เมื่อบุคคลมาอยู่รวมกันเป็นสังคม ปัญหาก็ย่อมจะเกิดตามมาเสมอ ยิ่งสังคมมีขนาดใหญ่ ปัญหาก็ยิ่งจะมีมากและสลับซับซ้อน
เป็นเงาตามตัว ปัญหาหนึ่งอาจจะกลายเป็นสาเหตุของอีกหลายปัญหาเกี่ยวโยงกันไปเป็นลูกโซ่ ถ้าปล่อยไว้ก็จะเพิ่มความรุนแรง เพิ่ม
ความสลับซับซ้อน และขยายวงกว้างออกไปเรื่อย ๆ ยากต่อการแก้ไข ความสงบสุขของประชาชนในสังคมนั้นก็จะไม่มี
1. ทำให้ปัญหาของสังคมลดน้อยลงและหมดไปในที่สุด
2. ป้องกันไม่ให้ปัญหานั้นหรือปัญหาในลักษณะเดียวกันนั้นเกิดขึ้นแก่สังคมอีก
3. ทำให้เกิดความเจริญก้าวหน้าขึ้นมาแทน
4. ทำให้ประชาชนในสังคมสมานสามัคคีและอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขตามฐานะของแต่ละบุคคล
5. ทำให้เกิดความเป็นปึกแผ่นมั่นคงของสังคม
แนวคิดในการพัฒนาสังคม
การพัฒนาสังคมมีขอบเขตกว้างขวาง เพราะปัญหาของสังคมมีมากและสลับซับซ้อน การแก้ปัญหาสังคมจึงต้องทำอย่าง
รอบคอบ และต้องอาศัยความร่วมมือกันของบุคคลจากหลาย ๆ ฝ่าย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนในสังคมนั้น ๆ จะต้องรับรู้
พร้อมที่จะให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเข้ามามีส่วนร่วมด้วยเสมอ การพัฒนาสังคมจึงต้องเป็นทั้งกระบวนการ วิธีการ กรรมวิธีเปลี่ยนแปลง
และแผนการดำเนินงาน กล่าวคือ
1. เป็นกระบวนการ (Process) เพราะการแก้ปัญหาสังคมต้องกระทำต่อเนื่องกันอย่างมีระบบ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
จากลักษณะหนึ่งไปสู่อีกลักษณะหนึ่ง ซึ่งจะต้องเป็นลักษณะที่ดีกว่าเดิม
2. เป็นวิธีการ (Method) คือต้องกำหนดวิธีการในการดำเนินงาน โดยเฉพาะเน้นความร่วมมือของประชาชนในสังคมนั้นกับ
เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลที่จะทำงานร่วมกัน และวิธีการนี้ต้องเป็นที่ยอมรับว่าสามารถนำการเปลี่ยนแปลงมาสู่สังคมได้อย่างถาวรและม
ีประโยชน์ต่อสังคม
3. เป็นกรรมวิธีเปลี่ยนแปลง (Movement) การพัฒนาสังคมจะต้องทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงให้ได้และจะต้องเปลี่ยนแปลง
ไปในทางที่ดีขึ้น โดยเฉพาะเน้นการเปลี่ยนแปลงทัศนคติของตน เพื่อให้เกิดสำนึกในการมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อผลประโยชน์ของส่วน
รวม และรักความเจริญก้าวหน้าอันจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางวัตถุ
4. เป็นแผนการดำเนินงาน (Planning) การพัฒนาสังคมจะต้องทำอย่างมีแผนมีขั้นตอน สามารถตรวจสอบและประเมินผลได้
แผนงานนี้จะต้องมีทุกระดับ นับตั้งแต่ระดับชาติ คือ แผนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ลงมาจนถึงระดับผู้ปฏิบัติ แผนงานมี
ความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งในการพัฒนาสังคม
การพัฒนาด้านสังคมไทย
การพัฒนาสังคมของไทยนั้นได้กระทำไปพร้อม ๆ กันทั้งสังคมในเมืองและสังคมชนบท แต่เนื่องจากสังคมชนบทเป็นที่อย
ู่อาศัยของชนส่วนใหญ่ของประเทศ การพัฒนาจึงทุ่มเทไปที่ชนบทมากกว่าในเมืองและการพัฒนาสังคมจะต้องพัฒนาหลาย ๆ ด้าน
ไปพร้อม ๆ กัน โดยเฉพาะที่เป็นปัจจัยต่อการพัฒนาด้านอื่น ๆ ได้แก่ การศึกษาและการสาธารณสุข
การพัฒนาด้านการศึกษา
การศึกษาเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดประการหนึ่งในการวัดความเจริญของสังคม สำหรับประเทศไทย การพัฒนาด้านการศึกษายัง
นับว่าไม่เจริญก้าวหน้าอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมชนบทของไทยจะพบประชาชนที่ไม่รู้หนังสืออยู่ค่อนข้างมาก นโยบาย
หลักที่สำคัญของรัฐบาลประการหนึ่งในการรณรงค์ให้สภาพการไม่รู้หนังสือนั้นหมดสิ้นไป เป็นภารกิจที่อยู่ในความรับผิดชอบของ
ประชาชนไทยทุกคนในชาติ
ความสำคัญของการศึกษาที่มีต่อบุคคลและสังคม
การศึกษาก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี ทำให้คนมีความรู้ ความเข้าใจ ในวิทยาการใหม่ ๆ กระตุ้นให้เกิด
ความคิดสร้างสรรค์ ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง ตลอดทั้งมีเหตุผลในการแก้ปัญหาต่าง ๆ การพัฒนาด้านการศึกษาก็คือการพัฒนาคุณภาพ
และประสิทธิภาพของบุคคล และเมื่อบุคคลซึ่งเป็นสมาชิกของสังคมมีคุณภาพแล้วก็จะทำให้สังคมมีการพัฒนาตามไปด้วย
ประเทศไทยได้ตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษาและเริ่มพัฒนาแนวความคิดในการพัฒนาการศึกษาแผนใหม่ขึ้น
แนวทางการพัฒนาการศึกษา
การพัฒนาการศึกษาของไทยได้มีการพัฒนามาตลอด ตั้งแต่สมัยพ่อขุนรามคำแหงได้ทรงประดิษฐ์อักษรไทย เมื่อ พ.ศ.
1826 มีการจัดการศึกษาให้กับประชาชนไทย ได้เรียนรู้เกี่ยวกับการอ่านออกเขียนได้ และคิดเลขเป็น จนถึงช่วงปลายสมัยรัชกาลที่ 4
ต่อรัชกาลที่ 5 เป็นระยะที่วัฒนธรรมตะวันตกได้แพร่เข้ามาอย่างกว้างขวาง มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปในหลาย ๆ ด้าน ได้มีการ
พัฒนารูปแบบการศึกษาอย่างรวดเร็ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเล็งเห็นความสำคัญของการศึกษา ได้โปรดให้
จัดตั้งโรงเรียนสำหรับราษฎรสามัญทั่วไป โดยกระทรวงธรรมการ ภายหลังจึงเปลี่ยนชื่อเป็นกระทรวงศึกษาธิการในปัจจุบัน
การพัฒนาการศึกษาในระบบ
การศึกษาในระบบ เป็นการศึกษาที่ได้วางกฎเกณฑ์ระเบียบแบบแผน ตลอดทั้งวิธีการดำเนินงานไว้อย่างแน่นอน เช่น
มีหลักสูตร เนื้อหาสาระในหลักสูตร ระยะเวลาเรียนของแต่ละหลักสูตร คุณสมบัติของผู้เรียน โดยคำนึงถึงผู้ศึกษาจะนำไปใช้ในการ
ประกอบอาชีพ หรือทำการศึกษาต่อในระดับสูงขึ้น ปัจจุบันปรากฏว่าสถานศึกษาที่จัดตามระบบมีอยู่ยังไม่เพียงพอ โดยเฉพาะใน
ชนบททำให้ประชาชนในชนบทเสียโอกาสที่จะศึกษาในระดับที่สูงกว่าการศึกษาภาคบังคับ รัฐบาลก็พยายามสร้างโรงเรียนในระดับ
มัธยมศึกษาให้กระจายไปสู่ท้องถิ่น ทั้งสนับสนุนให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาทุกระดับ แต่ยังไม่เป็นที่เพียงพอและ
ต้องพัฒนากันต่อไป
การพัฒนาการศึกษานอกระบบ
การศึกษานอกระบบ เป็นการจัดการศึกษาตามความต้องการของประชาชนในแต่ละท้องถิ่นหรือของแต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ
ปกติจะเน้นการศึกษาที่ผู้ศึกษาสามารถนำไปใช้ในการดำเนินชีวิตได้โดยตรงและใช้เวลาเรียนไม่นานนัก เป็นการพัฒนาคนให้ม
ีคุณภาพ มีประสิทธิภาพในการทำงานประกอบอาชีพและดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข ซึ่งนับวันการศึกษานอกระบบจะมีความสำคัญ
มากยิ่งขึ้น เพราะเป็นการแก้ปัญหาการศึกษาที่ตรงตามความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง การขยายการให้บริการแก่ประชาชน
อย่างทั่วถึงโดยเฉพาะในชนบท นับได้ว่าเป็นเสริมสร้างการพัฒนาสังคมที่สำคัญยิ่ง
สถาบันที่มีบทบาทต่อการพัฒนาการศึกษา
สถาบันที่สำคัญในการพัฒนาการศึกษา ได้แก่
บ้าน บ้านเป็นสถาบันการศึกษาแห่งแรกของมนุษย์ ซึ่งมีบิดา - มารดา เป็นครูคนแรก เป็นการศึกษาตามธรรมชาติ การสืบ
ทอดวัฒนธรรมและค่านิยมจากครอบครัว
วัด เป็นสถาบันการศึกษาที่สำคัญในอดีต ปัจจุบันวัดก็ยังมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาการศึกษา โดยเฉพาะในด้านศีลธรรม
ศาสนพิธี ขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ
โรงเรียน เป็นสถานที่ให้การศึกษาโดยตรง มีบทบาทสำคัญที่สุดในการพัฒนาการศึกษาในปัจจุบัน โดยเฉพาะการศึกษา
ระดับประถมศึกษาอันเป็นการศึกษาภาคบังคับ และเป็นรากฐานการศึกษาในระดับสูงต่อไป
หน่วยงานอื่น ๆ ทั้งของรัฐและเอกชนมีบทบาทในการพัฒนาการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการศึกษานอกระบบ เช่น
กรมการศึกษานอกโรงเรียน กรมการพัฒนาชุมชน หน่วยงานเอกชนที่มีบทบาทในการส่งเสริมการพัฒนาการศึกษา เช่น สภาสังคม
สงเคราะห์แห่งประเทศไทย สภาสตรีฯ มูลนิธิต่าง
หน่วยงานที่ให้บริการทางการศึกษา
หน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการให้บริการทางด้านการศึกษาให้แก่ชุมชนโดยตรง ก็คือ หน่วยงานที่อยู่ในสังกัดกระทรวง
ศึกษาธิการและทบวงมหาวิทยาลัย กล่าวคือ โรงเรียนประถมศึกษา โรงเรียนมัธยมศึกษา โรงเรียนอาชีวศึกษาเป็นหน่วยงานที่ให้บริการ
ทางการศึกษาในระบบโรงเรียน และศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจังหวัดเป็นหน่วยงานที่ให้บริการทางการศึกษานอกระบบโรงเรียน
ระดับที่ไม่สูงกว่ามัธยมศึกษา วิทยาลัยต่าง ๆ จะเป็นผู้ให้บริการในระดับที่สูงกว่ามัธยมศึกษา เช่น วิทยาลัยครู วิทยาลัยอาชีวศึกษา
เป็นต้น ในระดับปริญญามีมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในสังกัดของทบวงมหาวิทยาลัย กระจายอยู่ทุกภาคของประเทศ
การพัฒนาด้านสาธารณสุข
การสาธารณสุข หมายถึง การป้องกันและรักษาโรค ทำนุบำรุงให้ประชาชนมีสุขภาพและพลานามัยดี มีความสมบูรณ์ทั้งทาง
ร่างกายและจิตใจ สังคมใดจะเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าได้ จำเป็นต้องมีพลเมืองที่มีสุขภาพอนามัยดี อันเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนา
ประเทศ จึงจำเป็นที่จะต้องจัดให้มีการพัฒนาสาธารณสุขขึ้น การสาธารณสุขมีความสำคัญทั้งต่อตัวบุคคลและสังคม
ด้านบุคคล การสาธารณสุขทำให้บุคคลมีสุขภาพอนามัยดี มีร่างกายแข็งแรง สามารถทำงานประกอบอาชีพได้อย่างเต็มที่
สามารถสร้างฐานะครอบครัวให้มั่นคงได้เร็ว และดำรงชีพอยู่อย่างผาสุก
ด้านสังคม บุคคลเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของสังคม เมื่อบุคคลในสังคมเข้มแข็ง มีพลานามัยสมบูรณ์ ก็จะทำให้สังคมนั้น
มีความเข้มแข็งและเจริญก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว ทั้งในด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง การพัฒนาสาธารณสุข นอกจากจะเกิด
ประโยชน์โดยตรงแก่ตัวบุคคลแล้ว จึงยังมีผลดีต่อสังคมโดยส่วนรวมอีกด้วย
การพัฒนาสาธารณสุขของไทย
การพัฒนาสาธารณสุขของไทยได้เริ่มตื่นตัวขึ้นครั้งแรกในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เกิดโรคร้าย
ที่สำคัญได้แก่ ไข้มาลาเรีย อหิวาตกโรค ไข้ทรพิษ ผู้ป่วยมักจะถึงแก่ความตาย จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งโรงพยาบาลขึ้นเป็นแห่ง
แรกในประเทศไทย เมื่อพ.ศ.2431 คือ โรงพยาบาลศิริราช
ต่อมาเมื่อ พ.ศ.2461 ซึ่งเป็นรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงจัดตั้งกรมสาธารณสุขขึ้นใน
กระทรวงมหาดไทย ทำให้งานสาธารณสุขขยายวงกว้างออกไปสู่ภูมิภาคมากขึ้น กรมสาธารณสุขได้ยกฐานะขึ้นเป็นกระทรวง
สาธารณสุข โดยมีแนวทางในการพัฒนาสาธารณสุขของไทย มุ่งแก้ปัญหาสำคัญ 4 ประการ คือ
1. ปัญหาด้านสาธารณสุขมูลฐาน ดำเนินการให้ความรู้และเผยแพร่ข่าวสารเกี่ยวกับสาธารณสุขให้แก่ประชาชน โดยเฉพาะ
ผู้ที่อยู่ในชนบทห่างไกล เพื่อให้ประชาชนรู้จักรักษาสุขภาพของตนเองให้แข็งแรงอยู่เสมอ
2. ปัญหาการรักษาพยาบาล รัฐบาลได้พยายามจัดตั้งโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นทุกปี โดยมีเป้าหมายที่จะให้มีโรงพยาบาลขนาด
ใหญ่เป็นศูนย์กลางพยาบาลประจำอยู่ทุกภาค
3. ปัญหาการค้นคว้าและเทคนิคการแพทย์ รัฐบาลเร่งส่งเสริมให้มีการศึกษาค้นคว้าหาวิธีการต่าง ๆ สำหรับใช้ในการ
ตรวจพิสูจน์โรคให้มีประสิทธิภาพยิ่ง ๆ ขึ้น ปัจจุบันการแพทย์ไทยได้รับการยกย่องว่ามีความรู้ความสามารถในการตรวจรักษาไม่แพ้
การแพทย์ของต่างประเทศ
4. ปัญหาการขาดแคลนแพทย์พยาบาล เนื่องจากอัตราการเกิดของประชากรกับอัตราการผลิตแพทย์ของไทยไม่สมดุลกัน
แหล่งบริการด้านสาธารณสุข ได้กระจายหน่วยบริการออกไปให้บริการแก่ประชาชน ดังนี้
1. ระดับหมู่บ้าน มีเจ้าหน้าที่ผู้สื่อข่าวสาธารณสุข (ผสส.) และอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ทำหน้าที่ให้บริการ
2. ระดับตำบล มีเจ้าหน้าที่สาธารณสุขประจำตำบลอยู่ที่สถานีอนามัยประจำตำบล
3. ระดับอำเภอ มีเจ้าหน้าที่สาธารณสุขประจำอยู่ทุกอำเภอ
4.ระดับจังหวัด มีนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด เป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่งในปัจจุบันมีโรงพยาบาลประจำจังหวัดทุกจังหวัดคอยให้
บริการแก่ประชาชนได้อย่างทั่วถึง
การรวมกลุ่มและการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนา
การพัฒนาสังคม เป็นการดำเนินงานเพื่อแก้ปัญหาของสังคมให้มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น การแก้
ปัญหานั้นจำเป็นจะต้องรู้ถึงสาเหตุของปัญหานั้นอย่างแท้จริง จึงจะสามารถทำงานให้บรรลุผลได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิผล และ
ปัญหาของสังคมจะไม่มีใครรู้ดีไปกว่าคนในสังคมนั้นเอง ดังนั้นการเข้ามีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาจึงนับว่ามีความจำเป็น
อย่างยิ่ง และการเข้ามีส่วนร่วมของประชาชนจะส่งเสริมให้งานดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นก็โดยการรวมกันเป็นกลุ่ม
ลักษณะของการรวมกลุ่ม เป็นการร่วมมือร่วมใจของคนหลาย ๆ คนช่วยกันปฏิบัติงานตามหน้าที่โดยมีการประสานงาน
กันสนับสนุนกัน ทำหน้าที่แทนกันได้ และมีความรับผิดชอบร่วมกัน โดยเข้าใจวัตถุประสงค์ของการทำงานนั้นไปในทางเดียวกัน
การรวมกลุ่มที่ดีควรเป็นดังนี้
1. ทุกคนเข้าใจและเต็มใจที่เอาตัวเข้าไปผูกพันในงานที่จะทำ
2. ทุกคนมีส่วนร่วมในการวางแผนงาน และให้ทุกคนเข้าใจและทำงานไปตามขั้นตอนของแผนนั้น หากมีปัญหาอุปสรรคใด ๆ
ก็ช่วยกันพิจารณาแก้ไข
3. ต้องกำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบของแต่ละคนไว้อย่างแจ้งชัด เพื่อช่วยกันทำงานให้เชื่อมประสานกัน
4. ต้องถือว่าทุกคนมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เวลาประชุมปรึกษาหารือจะต้องเปิดโอกาสให้ทุกคนแสดงความคิดเห็น
ของตนอย่างเต็มที่และเสรี
5. ผลสำเร็จของงานต้องถือว่าเป็นผลสำเร็จของทุกคน
บทบาทของผู้นำกลุ่ม ผู้นำจะต้องเป็นแบบฉบับที่ดีเป็นที่เชื่อถือของผู้ตาม ทั้งในด้านความประพฤติส่วนตัวและการปฏิบัติ
งาน จะต้องไม่เผด็จการหรือถือตัวเองสำคัญกว่าคนอื่น พร้อมที่จะรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น และจะต้องเป็นผู้ฟังที่ดีด้วย ให้ผู้ตามเขา
ตามด้วยความเลื่อมใสศรัทธา ผู้นำจะต้องทำงานเป็นปากเป็นเสียงแทนสมาชิกกลุ่ม
บทบาทของผู้ตาม ผู้ตามที่ดีจะต้องร่วมทำงานด้วยเหตุผล จะต้องคอยสอดส่องติดตามการทำงานของผู้นำ (แต่มิใช่คอยจับ
ผิด) คอยให้สติ เพราะผู้นำอาจทำผิดพลาดนอกเหนือจากที่ได้รับมอบหมายจากกลุ่ม มิฉะนั้นผลอาจจะตกแก่กลุ่มโดยที่มิใช่วัตถุ
ประสงค์ของกลุ่มที่แท้จริง ผู้นำกับผู้ตามจะต้องสนับสนุนและประสานงานกันอยู่เสมอ พร้อมทั้งให้เกียรติซึ่งกันและกัน
บทบาทของกลุ่มในการพัฒนา การทำงานเป็นกลุ่มสามารถทำงานใหญ่ ๆ ให้สำเร็จได้อย่างมีประสิทธิผลยิ่งกว่าการทำงาน
แบบใช้คน ๆ เดียว
บทบาทของสตรีในการพัฒนา ปัจจุบันสตรีมีบทบาทในทางสังคมเท่าเทียมกับชายทุกประการ ในสังคมชนบทได้มีการ
จัดตั้งกลุ่มสตรีหรือกลุ่มแม่บ้านขึ้นช่วยงานพัฒนามากมาย โดยเฉพาะการพัฒนาขั้นพื้นฐานความเป็นอยู่ในครอบครัว สตรีมีบทบาท
สำคัญที่สุด
บทบาทของเยาวชนในการพัฒนา เยาวชนเป็นวัยแรงงานที่มีค่ามากในสังคมชนบทของไทยมีเยาวชนจำนวนไม่น้อยที่ไม่
มีโอกาสได้รับการศึกษาในระดับสูง ๆ และไม่มีงานที่จะทำ รัฐจึงพยายามจัดตั้งกลุ่มเยาวชนขึ้นแทบทุกตำบล อบรมให้รู้จักการทำงาน
ร่วมกัน ช่วยกันพัฒนาท้องถิ่นของตน เยาวชนเหล่านั้นสามารถทำงานเพื่อส่วนรวมได้อย่างดี
การพัฒนาสังคม
ความหมายของการพัฒนาสังคม
การพัฒนาสังคม หมายถึง การกระทำเพื่อมุ่งปรับปรุงส่งเสริมให้คนที่อยู่ร่วมกัน มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ทั้งในด้าน
วัตถุและจิตใจอันจะทำให้การดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันนั้นมีความเจริญรุ่งเรืองและสงบสุขแต่การที่บุคคลจะดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข
จะต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่างประกอบกัน อย่างน้อยที่สุดจะต้องมีปัจจัยขั้นพื้นฐานที่ดีพอสมควร กล่าวคือ มีที่อยู่อาศัย มีอาหารเพียงพอ
แก่การเลี้ยงชีพ มีเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่มสมควรแก่สภาพและฐานะ เวลาเจ็บป่วยควรจะได้รับการรักษาพยาบาล มีอาชีพมั่นคง มีรายได
้เพียงพอแก่ค่าใช้จ่ายในการครองชีพ มีความรักใคร่สมานสามัคคีกันของสมาชิกในสังคมและปราศจากภัยคุกคามจากโจรผู้ร้าย ฯลฯ
สิ่งเหล่านี้จะเกิดมีขึ้นได้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย โดยอาศัยวิธีการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้าช่วย เพื่อให้เกิด
ความเจริญก้าวหน้าและอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
ความสำคัญของการพัฒนาสังคม
เมื่อบุคคลมาอยู่รวมกันเป็นสังคม ปัญหาก็ย่อมจะเกิดตามมาเสมอ ยิ่งสังคมมีขนาดใหญ่ ปัญหาก็ยิ่งจะมีมากและสลับซับซ้อน
เป็นเงาตามตัว ปัญหาหนึ่งอาจจะกลายเป็นสาเหตุของอีกหลายปัญหาเกี่ยวโยงกันไปเป็นลูกโซ่ ถ้าปล่อยไว้ก็จะเพิ่มความรุนแรง เพิ่ม
ความสลับซับซ้อน และขยายวงกว้างออกไปเรื่อย ๆ ยากต่อการแก้ไข ความสงบสุขของประชาชนในสังคมนั้นก็จะไม่มี
1. ทำให้ปัญหาของสังคมลดน้อยลงและหมดไปในที่สุด
2. ป้องกันไม่ให้ปัญหานั้นหรือปัญหาในลักษณะเดียวกันนั้นเกิดขึ้นแก่สังคมอีก
3. ทำให้เกิดความเจริญก้าวหน้าขึ้นมาแทน
4. ทำให้ประชาชนในสังคมสมานสามัคคีและอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขตามฐานะของแต่ละบุคคล
5. ทำให้เกิดความเป็นปึกแผ่นมั่นคงของสังคม
แนวคิดในการพัฒนาสังคม
การพัฒนาสังคมมีขอบเขตกว้างขวาง เพราะปัญหาของสังคมมีมากและสลับซับซ้อน การแก้ปัญหาสังคมจึงต้องทำอย่าง
รอบคอบ และต้องอาศัยความร่วมมือกันของบุคคลจากหลาย ๆ ฝ่าย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนในสังคมนั้น ๆ จะต้องรับรู้
พร้อมที่จะให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเข้ามามีส่วนร่วมด้วยเสมอ การพัฒนาสังคมจึงต้องเป็นทั้งกระบวนการ วิธีการ กรรมวิธีเปลี่ยนแปลง
และแผนการดำเนินงาน กล่าวคือ
1. เป็นกระบวนการ (Process) เพราะการแก้ปัญหาสังคมต้องกระทำต่อเนื่องกันอย่างมีระบบ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
จากลักษณะหนึ่งไปสู่อีกลักษณะหนึ่ง ซึ่งจะต้องเป็นลักษณะที่ดีกว่าเดิม
2. เป็นวิธีการ (Method) คือต้องกำหนดวิธีการในการดำเนินงาน โดยเฉพาะเน้นความร่วมมือของประชาชนในสังคมนั้นกับ
เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลที่จะทำงานร่วมกัน และวิธีการนี้ต้องเป็นที่ยอมรับว่าสามารถนำการเปลี่ยนแปลงมาสู่สังคมได้อย่างถาวรและม
ีประโยชน์ต่อสังคม
3. เป็นกรรมวิธีเปลี่ยนแปลง (Movement) การพัฒนาสังคมจะต้องทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงให้ได้และจะต้องเปลี่ยนแปลง
ไปในทางที่ดีขึ้น โดยเฉพาะเน้นการเปลี่ยนแปลงทัศนคติของตน เพื่อให้เกิดสำนึกในการมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อผลประโยชน์ของส่วน
รวม และรักความเจริญก้าวหน้าอันจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางวัตถุ
4. เป็นแผนการดำเนินงาน (Planning) การพัฒนาสังคมจะต้องทำอย่างมีแผนมีขั้นตอน สามารถตรวจสอบและประเมินผลได้
แผนงานนี้จะต้องมีทุกระดับ นับตั้งแต่ระดับชาติ คือ แผนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ลงมาจนถึงระดับผู้ปฏิบัติ แผนงานมี
ความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งในการพัฒนาสังคม
การพัฒนาด้านสังคมไทย
การพัฒนาสังคมของไทยนั้นได้กระทำไปพร้อม ๆ กันทั้งสังคมในเมืองและสังคมชนบท แต่เนื่องจากสังคมชนบทเป็นที่อย
ู่อาศัยของชนส่วนใหญ่ของประเทศ การพัฒนาจึงทุ่มเทไปที่ชนบทมากกว่าในเมืองและการพัฒนาสังคมจะต้องพัฒนาหลาย ๆ ด้าน
ไปพร้อม ๆ กัน โดยเฉพาะที่เป็นปัจจัยต่อการพัฒนาด้านอื่น ๆ ได้แก่ การศึกษาและการสาธารณสุข
การพัฒนาด้านการศึกษา
การศึกษาเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดประการหนึ่งในการวัดความเจริญของสังคม สำหรับประเทศไทย การพัฒนาด้านการศึกษายัง
นับว่าไม่เจริญก้าวหน้าอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมชนบทของไทยจะพบประชาชนที่ไม่รู้หนังสืออยู่ค่อนข้างมาก นโยบาย
หลักที่สำคัญของรัฐบาลประการหนึ่งในการรณรงค์ให้สภาพการไม่รู้หนังสือนั้นหมดสิ้นไป เป็นภารกิจที่อยู่ในความรับผิดชอบของ
ประชาชนไทยทุกคนในชาติ
ความสำคัญของการศึกษาที่มีต่อบุคคลและสังคม
การศึกษาก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี ทำให้คนมีความรู้ ความเข้าใจ ในวิทยาการใหม่ ๆ กระตุ้นให้เกิด
ความคิดสร้างสรรค์ ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง ตลอดทั้งมีเหตุผลในการแก้ปัญหาต่าง ๆ การพัฒนาด้านการศึกษาก็คือการพัฒนาคุณภาพ
และประสิทธิภาพของบุคคล และเมื่อบุคคลซึ่งเป็นสมาชิกของสังคมมีคุณภาพแล้วก็จะทำให้สังคมมีการพัฒนาตามไปด้วย
ประเทศไทยได้ตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษาและเริ่มพัฒนาแนวความคิดในการพัฒนาการศึกษาแผนใหม่ขึ้น
แนวทางการพัฒนาการศึกษา
การพัฒนาการศึกษาของไทยได้มีการพัฒนามาตลอด ตั้งแต่สมัยพ่อขุนรามคำแหงได้ทรงประดิษฐ์อักษรไทย เมื่อ พ.ศ.
1826 มีการจัดการศึกษาให้กับประชาชนไทย ได้เรียนรู้เกี่ยวกับการอ่านออกเขียนได้ และคิดเลขเป็น จนถึงช่วงปลายสมัยรัชกาลที่ 4
ต่อรัชกาลที่ 5 เป็นระยะที่วัฒนธรรมตะวันตกได้แพร่เข้ามาอย่างกว้างขวาง มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปในหลาย ๆ ด้าน ได้มีการ
พัฒนารูปแบบการศึกษาอย่างรวดเร็ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเล็งเห็นความสำคัญของการศึกษา ได้โปรดให้
จัดตั้งโรงเรียนสำหรับราษฎรสามัญทั่วไป โดยกระทรวงธรรมการ ภายหลังจึงเปลี่ยนชื่อเป็นกระทรวงศึกษาธิการในปัจจุบัน
การพัฒนาการศึกษาในระบบ
การศึกษาในระบบ เป็นการศึกษาที่ได้วางกฎเกณฑ์ระเบียบแบบแผน ตลอดทั้งวิธีการดำเนินงานไว้อย่างแน่นอน เช่น
มีหลักสูตร เนื้อหาสาระในหลักสูตร ระยะเวลาเรียนของแต่ละหลักสูตร คุณสมบัติของผู้เรียน โดยคำนึงถึงผู้ศึกษาจะนำไปใช้ในการ
ประกอบอาชีพ หรือทำการศึกษาต่อในระดับสูงขึ้น ปัจจุบันปรากฏว่าสถานศึกษาที่จัดตามระบบมีอยู่ยังไม่เพียงพอ โดยเฉพาะใน
ชนบททำให้ประชาชนในชนบทเสียโอกาสที่จะศึกษาในระดับที่สูงกว่าการศึกษาภาคบังคับ รัฐบาลก็พยายามสร้างโรงเรียนในระดับ
มัธยมศึกษาให้กระจายไปสู่ท้องถิ่น ทั้งสนับสนุนให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาทุกระดับ แต่ยังไม่เป็นที่เพียงพอและ
ต้องพัฒนากันต่อไป
การพัฒนาการศึกษานอกระบบ
การศึกษานอกระบบ เป็นการจัดการศึกษาตามความต้องการของประชาชนในแต่ละท้องถิ่นหรือของแต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ
ปกติจะเน้นการศึกษาที่ผู้ศึกษาสามารถนำไปใช้ในการดำเนินชีวิตได้โดยตรงและใช้เวลาเรียนไม่นานนัก เป็นการพัฒนาคนให้ม
ีคุณภาพ มีประสิทธิภาพในการทำงานประกอบอาชีพและดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข ซึ่งนับวันการศึกษานอกระบบจะมีความสำคัญ
มากยิ่งขึ้น เพราะเป็นการแก้ปัญหาการศึกษาที่ตรงตามความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง การขยายการให้บริการแก่ประชาชน
อย่างทั่วถึงโดยเฉพาะในชนบท นับได้ว่าเป็นเสริมสร้างการพัฒนาสังคมที่สำคัญยิ่ง
สถาบันที่มีบทบาทต่อการพัฒนาการศึกษา
สถาบันที่สำคัญในการพัฒนาการศึกษา ได้แก่
บ้าน บ้านเป็นสถาบันการศึกษาแห่งแรกของมนุษย์ ซึ่งมีบิดา - มารดา เป็นครูคนแรก เป็นการศึกษาตามธรรมชาติ การสืบ
ทอดวัฒนธรรมและค่านิยมจากครอบครัว
วัด เป็นสถาบันการศึกษาที่สำคัญในอดีต ปัจจุบันวัดก็ยังมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาการศึกษา โดยเฉพาะในด้านศีลธรรม
ศาสนพิธี ขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ
โรงเรียน เป็นสถานที่ให้การศึกษาโดยตรง มีบทบาทสำคัญที่สุดในการพัฒนาการศึกษาในปัจจุบัน โดยเฉพาะการศึกษา
ระดับประถมศึกษาอันเป็นการศึกษาภาคบังคับ และเป็นรากฐานการศึกษาในระดับสูงต่อไป
หน่วยงานอื่น ๆ ทั้งของรัฐและเอกชนมีบทบาทในการพัฒนาการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการศึกษานอกระบบ เช่น
กรมการศึกษานอกโรงเรียน กรมการพัฒนาชุมชน หน่วยงานเอกชนที่มีบทบาทในการส่งเสริมการพัฒนาการศึกษา เช่น สภาสังคม
สงเคราะห์แห่งประเทศไทย สภาสตรีฯ มูลนิธิต่าง
หน่วยงานที่ให้บริการทางการศึกษา
หน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการให้บริการทางด้านการศึกษาให้แก่ชุมชนโดยตรง ก็คือ หน่วยงานที่อยู่ในสังกัดกระทรวง
ศึกษาธิการและทบวงมหาวิทยาลัย กล่าวคือ โรงเรียนประถมศึกษา โรงเรียนมัธยมศึกษา โรงเรียนอาชีวศึกษาเป็นหน่วยงานที่ให้บริการ
ทางการศึกษาในระบบโรงเรียน และศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจังหวัดเป็นหน่วยงานที่ให้บริการทางการศึกษานอกระบบโรงเรียน
ระดับที่ไม่สูงกว่ามัธยมศึกษา วิทยาลัยต่าง ๆ จะเป็นผู้ให้บริการในระดับที่สูงกว่ามัธยมศึกษา เช่น วิทยาลัยครู วิทยาลัยอาชีวศึกษา
เป็นต้น ในระดับปริญญามีมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในสังกัดของทบวงมหาวิทยาลัย กระจายอยู่ทุกภาคของประเทศ
การพัฒนาด้านสาธารณสุข
การสาธารณสุข หมายถึง การป้องกันและรักษาโรค ทำนุบำรุงให้ประชาชนมีสุขภาพและพลานามัยดี มีความสมบูรณ์ทั้งทาง
ร่างกายและจิตใจ สังคมใดจะเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าได้ จำเป็นต้องมีพลเมืองที่มีสุขภาพอนามัยดี อันเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนา
ประเทศ จึงจำเป็นที่จะต้องจัดให้มีการพัฒนาสาธารณสุขขึ้น การสาธารณสุขมีความสำคัญทั้งต่อตัวบุคคลและสังคม
ด้านบุคคล การสาธารณสุขทำให้บุคคลมีสุขภาพอนามัยดี มีร่างกายแข็งแรง สามารถทำงานประกอบอาชีพได้อย่างเต็มที่
สามารถสร้างฐานะครอบครัวให้มั่นคงได้เร็ว และดำรงชีพอยู่อย่างผาสุก
ด้านสังคม บุคคลเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของสังคม เมื่อบุคคลในสังคมเข้มแข็ง มีพลานามัยสมบูรณ์ ก็จะทำให้สังคมนั้น
มีความเข้มแข็งและเจริญก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว ทั้งในด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง การพัฒนาสาธารณสุข นอกจากจะเกิด
ประโยชน์โดยตรงแก่ตัวบุคคลแล้ว จึงยังมีผลดีต่อสังคมโดยส่วนรวมอีกด้วย
การพัฒนาสาธารณสุขของไทย
การพัฒนาสาธารณสุขของไทยได้เริ่มตื่นตัวขึ้นครั้งแรกในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เกิดโรคร้าย
ที่สำคัญได้แก่ ไข้มาลาเรีย อหิวาตกโรค ไข้ทรพิษ ผู้ป่วยมักจะถึงแก่ความตาย จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งโรงพยาบาลขึ้นเป็นแห่ง
แรกในประเทศไทย เมื่อพ.ศ.2431 คือ โรงพยาบาลศิริราช
ต่อมาเมื่อ พ.ศ.2461 ซึ่งเป็นรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงจัดตั้งกรมสาธารณสุขขึ้นใน
กระทรวงมหาดไทย ทำให้งานสาธารณสุขขยายวงกว้างออกไปสู่ภูมิภาคมากขึ้น กรมสาธารณสุขได้ยกฐานะขึ้นเป็นกระทรวง
สาธารณสุข โดยมีแนวทางในการพัฒนาสาธารณสุขของไทย มุ่งแก้ปัญหาสำคัญ 4 ประการ คือ
1. ปัญหาด้านสาธารณสุขมูลฐาน ดำเนินการให้ความรู้และเผยแพร่ข่าวสารเกี่ยวกับสาธารณสุขให้แก่ประชาชน โดยเฉพาะ
ผู้ที่อยู่ในชนบทห่างไกล เพื่อให้ประชาชนรู้จักรักษาสุขภาพของตนเองให้แข็งแรงอยู่เสมอ
2. ปัญหาการรักษาพยาบาล รัฐบาลได้พยายามจัดตั้งโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นทุกปี โดยมีเป้าหมายที่จะให้มีโรงพยาบาลขนาด
ใหญ่เป็นศูนย์กลางพยาบาลประจำอยู่ทุกภาค
3. ปัญหาการค้นคว้าและเทคนิคการแพทย์ รัฐบาลเร่งส่งเสริมให้มีการศึกษาค้นคว้าหาวิธีการต่าง ๆ สำหรับใช้ในการ
ตรวจพิสูจน์โรคให้มีประสิทธิภาพยิ่ง ๆ ขึ้น ปัจจุบันการแพทย์ไทยได้รับการยกย่องว่ามีความรู้ความสามารถในการตรวจรักษาไม่แพ้
การแพทย์ของต่างประเทศ
4. ปัญหาการขาดแคลนแพทย์พยาบาล เนื่องจากอัตราการเกิดของประชากรกับอัตราการผลิตแพทย์ของไทยไม่สมดุลกัน
แหล่งบริการด้านสาธารณสุข ได้กระจายหน่วยบริการออกไปให้บริการแก่ประชาชน ดังนี้
1. ระดับหมู่บ้าน มีเจ้าหน้าที่ผู้สื่อข่าวสาธารณสุข (ผสส.) และอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ทำหน้าที่ให้บริการ
2. ระดับตำบล มีเจ้าหน้าที่สาธารณสุขประจำตำบลอยู่ที่สถานีอนามัยประจำตำบล
3. ระดับอำเภอ มีเจ้าหน้าที่สาธารณสุขประจำอยู่ทุกอำเภอ
4.ระดับจังหวัด มีนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด เป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่งในปัจจุบันมีโรงพยาบาลประจำจังหวัดทุกจังหวัดคอยให้
บริการแก่ประชาชนได้อย่างทั่วถึง
การรวมกลุ่มและการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนา
การพัฒนาสังคม เป็นการดำเนินงานเพื่อแก้ปัญหาของสังคมให้มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น การแก้
ปัญหานั้นจำเป็นจะต้องรู้ถึงสาเหตุของปัญหานั้นอย่างแท้จริง จึงจะสามารถทำงานให้บรรลุผลได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิผล และ
ปัญหาของสังคมจะไม่มีใครรู้ดีไปกว่าคนในสังคมนั้นเอง ดังนั้นการเข้ามีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาจึงนับว่ามีความจำเป็น
อย่างยิ่ง และการเข้ามีส่วนร่วมของประชาชนจะส่งเสริมให้งานดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นก็โดยการรวมกันเป็นกลุ่ม
ลักษณะของการรวมกลุ่ม เป็นการร่วมมือร่วมใจของคนหลาย ๆ คนช่วยกันปฏิบัติงานตามหน้าที่โดยมีการประสานงาน
กันสนับสนุนกัน ทำหน้าที่แทนกันได้ และมีความรับผิดชอบร่วมกัน โดยเข้าใจวัตถุประสงค์ของการทำงานนั้นไปในทางเดียวกัน
การรวมกลุ่มที่ดีควรเป็นดังนี้
1. ทุกคนเข้าใจและเต็มใจที่เอาตัวเข้าไปผูกพันในงานที่จะทำ
2. ทุกคนมีส่วนร่วมในการวางแผนงาน และให้ทุกคนเข้าใจและทำงานไปตามขั้นตอนของแผนนั้น หากมีปัญหาอุปสรรคใด ๆ
ก็ช่วยกันพิจารณาแก้ไข
3. ต้องกำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบของแต่ละคนไว้อย่างแจ้งชัด เพื่อช่วยกันทำงานให้เชื่อมประสานกัน
4. ต้องถือว่าทุกคนมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เวลาประชุมปรึกษาหารือจะต้องเปิดโอกาสให้ทุกคนแสดงความคิดเห็น
ของตนอย่างเต็มที่และเสรี
5. ผลสำเร็จของงานต้องถือว่าเป็นผลสำเร็จของทุกคน
บทบาทของผู้นำกลุ่ม ผู้นำจะต้องเป็นแบบฉบับที่ดีเป็นที่เชื่อถือของผู้ตาม ทั้งในด้านความประพฤติส่วนตัวและการปฏิบัติ
งาน จะต้องไม่เผด็จการหรือถือตัวเองสำคัญกว่าคนอื่น พร้อมที่จะรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น และจะต้องเป็นผู้ฟังที่ดีด้วย ให้ผู้ตามเขา
ตามด้วยความเลื่อมใสศรัทธา ผู้นำจะต้องทำงานเป็นปากเป็นเสียงแทนสมาชิกกลุ่ม
บทบาทของผู้ตาม ผู้ตามที่ดีจะต้องร่วมทำงานด้วยเหตุผล จะต้องคอยสอดส่องติดตามการทำงานของผู้นำ (แต่มิใช่คอยจับ
ผิด) คอยให้สติ เพราะผู้นำอาจทำผิดพลาดนอกเหนือจากที่ได้รับมอบหมายจากกลุ่ม มิฉะนั้นผลอาจจะตกแก่กลุ่มโดยที่มิใช่วัตถุ
ประสงค์ของกลุ่มที่แท้จริง ผู้นำกับผู้ตามจะต้องสนับสนุนและประสานงานกันอยู่เสมอ พร้อมทั้งให้เกียรติซึ่งกันและกัน
บทบาทของกลุ่มในการพัฒนา การทำงานเป็นกลุ่มสามารถทำงานใหญ่ ๆ ให้สำเร็จได้อย่างมีประสิทธิผลยิ่งกว่าการทำงาน
แบบใช้คน ๆ เดียว
บทบาทของสตรีในการพัฒนา ปัจจุบันสตรีมีบทบาทในทางสังคมเท่าเทียมกับชายทุกประการ ในสังคมชนบทได้มีการ
จัดตั้งกลุ่มสตรีหรือกลุ่มแม่บ้านขึ้นช่วยงานพัฒนามากมาย โดยเฉพาะการพัฒนาขั้นพื้นฐานความเป็นอยู่ในครอบครัว สตรีมีบทบาท
สำคัญที่สุด
บทบาทของเยาวชนในการพัฒนา เยาวชนเป็นวัยแรงงานที่มีค่ามากในสังคมชนบทของไทยมีเยาวชนจำนวนไม่น้อยที่ไม่
มีโอกาสได้รับการศึกษาในระดับสูง ๆ และไม่มีงานที่จะทำ รัฐจึงพยายามจัดตั้งกลุ่มเยาวชนขึ้นแทบทุกตำบล อบรมให้รู้จักการทำงาน
ร่วมกัน ช่วยกันพัฒนาท้องถิ่นของตน เยาวชนเหล่านั้นสามารถทำงานเพื่อส่วนรวมได้อย่างดี
วันพฤหัสบดีที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2554
คอมพิวเตอร์
| ||||
| ||||
คอมพิวเตอร์คืออะไร
|
คณิตศาสตร์
|
สุขศึกษา
|
|
ชีวะวิทยา/วิทยาศาสตร์
การศึกษาสิ่งมีชีวิตในระดับอะตอมและโมเลกุล จัดอยู่ในสาขาวิชาอณูชีววิทยา ชีวเคมี และอณูพันธุศาสตร์ การศึกษาในระดับเซลล์ จัดอยู่ในสาขาวิชาเซลล์วิทยา และในระดับเนื้อเยื่อ จัดอยู่ในสาขาวิชาสรีรวิทยา กายวิภาคศาสตร์ และมิญชวิทยา สาขาวิชาคัพภวิทยาเป็นการศึกษาการเจริญเติบโตและพัฒนาการของตัวอ่อนของสิ่งมีชีวิต
สาขาวิชาพันธุศาสตร์เป็นการศึกษาการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตจากรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง สาขาวิชาพฤติกรรมวิทยาเป็นการศึกษาพฤติกรรมของกลุ่มสิ่งมีชีวิต สาขาวิชาพันธุศาสตร์ประชากรเป็นการศึกษาพันธุศาสตร์ในระดับประชากรของสิ่งมีชีวิต การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งกับสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่ง และระหว่างสิ่งมีชีวิตกับถิ่นที่อยู่อาศัย จัดอยู่ในสาขาวิชานิเวศวิทยาและชีววิทยาของวิวัฒนาการ
[แก้ไข] สาระสำคัญ
ชีววิทยาเป็นวิทยาศาสตร์สาขาชีวภาพ (Biologicalscience) ที่มีการศึกษาถึงความคิดและเหตุผลเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิต โดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ จนเป็นความรู้ ทฤษฎี และกฎต่าง ๆ เกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตมากมาย แตกแขนง ออกเป็นสาขาวิชาต่าง ๆ ที่เราจำเป็นต้องศึกษาให้เข้าใจ เพื่อมนุษย์เราจะมีชีวิตอยู่ร่วมกันกับสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ในระบบนิเวศน์และในโลกของสิ่งมีชีวิตได้อย่างยืนยาว
สิ่งมีชีวิตมีคุณสมบัติพิเศษที่แตกต่างไปจากสิ่งไม่มีชีวิต ดังนี้
สิ่งมีชีวิตสืบพันธุ์ได้ การสืบพันธุ์เป็นเหตุผลอย่างหนึ่งของสิ่งมีชีวิต ที่จะให้ลูกหลานดำรงเผ่าพันธุ์ สืบเนื่องต่อไป การสืบพันธุ์อาจจะสืบพันธุ์โดยอาศัยเพศ หรือโดยไม่อาศัยเพศก็ตาม สามารถถ่ายทอดลักษณะต่าง ๆ จากพ่อแม่ไปสู่ลูกหลานที่เกิดขึ้น หน่วยที่ควบคุมลักษณะของสิ่งมีชีวิต เรียกว่า ยีน (gene) ซึ่งอยู่บนโครโมโซมภายในนิวเคลียสของเซล ดังนั้น การสืบพันธุ์เป็นกิจกรรมขั้นสุดยอดของสิ่งมีชีวิต ที่จะรักษาเผ่าพันธุ์ของตนเอง ให้ยั่งยืนและอยู่รอดในระบบนิเวศ
1.สิ่งมีชีวิตมีขบวนการเปลี่ยนแปลงทางเคมี การเปลี่ยนแปลงทางเคมีที่เกิดขึ้นในสิ่งมีชีวิต เรียกว่า ขบวนการเมตตาโบลิซึม (metabolism) ซึ่งก่อให้เกิดพลังงานและการสังเคราะห์สารต่าง ๆ เพื่อใช้ในการดำรงชีพ เช่นขบวนการหายใจระดับเซล หรือขบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง หรือการสังเคราะห์พลังงาน และระบบการใช้พลังงานที่เกิดขึ้นภายในร่างกายของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ยกเว้นเชื้อไวรัส ต้องอาศัยพลังงานจากเซลของสิ่งมีชีวิตอื่น สิ่งมีชีวิตต้องเจริญเติบโต การเจริญเติบโตต้องประกอบด้วยการแบ่งเซล การขยายขนาดของเซล และการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของเซล 2.สิ่งมีชีวิตเคลื่อนไหวได้ การเคลื่อนไหวเกิดจากการใช้พลังงาน ภายในเซลของร่างกายของสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิด ไปกระตุ้นให้กล้ามเนื้อหรือเนื้อเยื่อเกิดการทำงาน
3.สิ่งมีชีวิตตอบสนองต่อสิ่งเร้าได้ คือสามารถตอบสนองต่อสิ่งต่าง ๆที่มากระทบ หรือกระตุ้นการตอบสนอง เป็นพฤติกรรมที่ทำให้สิ่งมีชีวิตสามารถอยู่รอดได้ในสภาพแวดล้อมแต่ละแห่ง
4.สิ่งมีชีวิตสามารถปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ เมื่อสภาพสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัวของสิงมีชีวิตเกิดการเปลี่ยนแปลงไป สิ่งมีชีวิตจะต้องมีการปรับตัวให้อยู่รอดในสภาพสิ่งแวดล้อมนั้น โดยมีการปรับตัว 3 ลักษณะ คือ การปรับโครงสร้างรูปร่างส่วนประกอบของร่างกาย การปรับพฤติกรรม และการปรับกลไกการทำงานของร่างกายหรือการทำงานของเซล
5.สิ่งมีชีวิตต้องมีการจัดระบบการทำงานภายในเซลส์หรือในร่างกายอย่างมีระบบ เช่น ในเซลจะมีออร์แกแนลต่าง ๆ ทำหน้าที่เสมือนอวัยวะของร่างกายของสิ่งมีชีวิต สิ่งมีชีวิต ที่มีโครงสร้างของร่างกายซับซ้อน ก็จะมี กลุ่มเซลที่ทำหน้าที่ร่วมกัน เรียกว่าเนื้อเยื่อ (Tissue) กลุ่มของเนื้อเยื่อที่ทำหน้าที่ร่วมกัน เรียกว่าอวัยวะ (Organ) อวัยวะชนิดเดียวกัน หรือต่างชนิดกัน ทำงานร่วมกันเรียกว่าระบบ (System) ระบบหลายระบบทำงานร่วมกันจะเป็นร่างกาย(Body) เช่นระบบทางเดินอาหาร จะประกอบด้วยอวัยวะต่าง ๆ มากมาย เช่น ปาก หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ ตับ ตับอ่อน ทวารหนัก จะเห็นว่า การทำงานของร่างกายสิ่งมีชีวิต จะมีการจัดระบบตั้งแต่ระดับเซล ระดับเนื้อเยื่อ ระดับอวัยวะ และระบบต่าง ๆ
วิชาชีววิทยา จะศึกษาเฉพาะเรื่องราวของสิ่งมีชีวิต โดยใช้ขั้นตอนการศึกษา ตามวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นกระบวนการศึกษา (Process) ที่นักชีววิทยาใช้ในการศึกษา เรื่องราวของสิ่งมีชีวิตตามขั้นตอน คือ การสังเกต การตั้งปัญหา การตั้งสมมติฐาน การตรวจสอบสมติฐาน การแปลผลและการสรุปผล ดังที่กล่าวมาแล้ว สิ่งที่ได้มาจากกระบวนการศึกษา เกิดเป็นความรู้ (Knowlege) ซึ่งอาจจะประกอบด้วย
- ข้อมูล (Data) ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงส่วนหนึ่งและสิ่งที่ได้จากการสังเกตหรือรับรู้
- ข้อเท็จจริง (Fact) สิ่งที่เป็นอยู่จริงตามธรรมชาติ
- ข้อสรุป (Conclusion) เป็นการสรุปหาความสัมพันธ์ของข้อมูลตามเหตุและผลต่อกัน
- กฎ (Law) เป็นความจริงหลักที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างเหตุกับผล
- ทฤษฎี (Theory) เป็นสมมติฐานที่ได้รับการพิสูจน์แล้วหลาย ๆ ครั้ง จนเป็นที่ยอมรับ
- เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องราวต่าง ๆ ของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดตลอดจนเรื่องราวภายในตัวของมนุษย์เองด้วย
- เพื่อนำความรู้ที่ได้มาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อมนุษย์ และการแก้ปัญหาสภาพสิ่งแวดล้อมที่จะทำให้มนุษย์ได้ดำรงชีพอยู่อย่างราบรื่น เช่นนำมาใช้ทางการแพทย์การเกษตรการอุตสาหกรรมสิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology)
- จำแนกตามธรรมชาติขิงสิ่งแวดล้อม และ
- จำแนกตามวิธีการศึกษาของสิ่งมีชีวิตนั้น ๆ
- โบราณชีวศาสตร์ (Palcontology) ศึกษาเกี่ยวกับซากเหลือของพืช-สัตว์โบราณ
- ปราสิตวิทยา (Parasitology) ศึกษาเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตที่แย่งอาหารจากสิ่งมีชีวิตอื่น
- พยาธิวิทยา (Pathology) ศึกษาเกี่ยวกับธรรมชาติ อาหาร และสาเหตุของโรคต่าง ๆ
[แก้ไข] เทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology)
เทคโนโลยีชีวภาพ เป็นสาขาหนึ่งของการนำเอาความรู้ทางชีวิทยา มาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์เฉพาะอย่างตามที่มนุษย์ต้องการ เช่นด้านการเกษตร ด้านการแพทย์ และสาธารณสุข ด้านอุตสาหกรรม อาหาร เครื่องดื่ม ด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมการนำความรู้เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตมาใช้ประโยชน์ ทำให้มนุษย์ได้รับประโยชน์ดังต่อไปนี้
- ด้านการเกษตร
- ด้านการแพทย์และสาธารสุข
- ด้านอาหารและเครื่องดื่ม
- ด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม
วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2554
ภาษาไทยมาตรฐาน
ภาษาไทยมาตรฐาน ไม่ได้หมายถึงภาษาไทยภาคกลาง แต่เป็นภาษาไทยที่ชนชั้นนำได้พัฒนาให้มันซับซ้อน เพื่อที่จะทำให้คนที่ใช้ภาษาไทยอย่างถูกต้อง ได้ตระหนักว่าตนอยู่ในสถานภาพไหน จะเขียน จะพูด จะสื่อสารไปยังคนที่สูงกว่าหรือต่ำกว่าตนเองอย่างไรบ้าง อันนี้คือภาษาไทยมาตรฐาน
[แก้ไข] ลักษณะภาษาไทยมาตรฐาน
ลักษณะภาษาไทยมาตรฐานที่สอนในโรงเรียนเป็นลักษณะของภาษาเขียน ซึ่งมีข้อแตกต่างไปจากภาษาพูดหลายประการ เป็นธรรมชาติที่ภาษาพูดกับภาษาเขียนย่อมไม่เหมือนกัน และเป็นภาษาไทยมาตรฐานมักจะใช้ในการอ่านข่าวทางวิทยุและโทรทัศน์ภาษาไทยมาตรฐาน มีลักษณะทางภาษา หลายประการ ที่คล้ายกับภาษาไทย ที่พูดกันบริเวณภาคกลางของ ประเทศไทย เช่น พยัญชนะ สระ วรรณยุกต์และศัพท์ เป็นต้น แต่เนื่องจากผู้ที่พูดภาษาไทยมาตรฐาน อาศัยอยู่ ในทุกจังหวัดในประเทศไทย จึงเป็นการเหมาะสมที่จะพูดถึงภาษาไทยมาตรฐาน ในฐานะของภาษาย่อยประเภทหนึ่ง ต่างหากจากภาษาไทยถิ่น
ภาษาไทยมาตรฐาน มีความสัมพันธ์ กับภาษาย่อยในกลุ่มภาษาสังคมอยู่ด้วย คือผู้ที่พูดภาษาไทยมาตรฐาน มักจะเป็นผู้ที่มีฐานะทางสังคมดี และมีการศึกษาสูง นอกจากนี้ ผู้ที่พูดได้ทั้งภาษาไทยถิ่น และภาษาไทยมาตรฐาน มักจะใช้ภาษาไทยมาตรฐาน ในการทำงาน หรือในการติดต่อกับข้าราชการ เป็นต้น ซึ่งแสดงว่า ภาษาไทย มาตรฐาน มีความสัมพันธ์กับภาษาย่อย ประเภทภาษาหน้าที่ อีกด้วย
ผู้ที่มีการศึกษาเพียงระดับประถมต้น และประกอบอาชีพทำนา จะพูดภาษา ที่มีลักษณะแตกต่างจากภาษาไทยมาตรฐาน มากกว่าพวกที่มีการศึกษาระดับเดียวกัน หรือระดับสูงกว่า และประกอบอาชีพค้าขาย หรือเป็นข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ส่วนพวกที่มีการศึกษาระดับอุดมศึกษา และประกอบอาชีพครูหรืออาชีพอื่น ๆ ก็มักจะพูดภาษาไทยมาตรฐาน หรือภาษาที่มีลักษณะที่ใกล้เคียง กับภาษาไทยมาตรฐานมาก สำหรับในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ จะมีสถานการณ์ทาง ภาษาอีกแบบหนึ่ง คือคนที่มีการศึกษาน้อย อาจจะพูดได้เฉพาะภาษาของท้องถิ่น ที่ตนมีภูมิลำเนาอยู่ ส่วนคนที่มี การศึกษาสูง มักจะพูดได้ ทั้งภาษาท้องถิ่น และภาษาไทยมาตรฐาน และอาจจะมีบางคน ที่พูดภาษาไทยมาตรฐาน ได้คล่องกว่าภาษาท้องถิ่น
ตัวอย่างภาษามาตรฐาน
คำที่แตกต่างกัน ส่วนใหญ่จะแตกต่างเกี่ยวกับเรื่องคำศัพท์ เช่น คำลงท้าย ประโยคหรือวลี ใช้เฉพาะถิ่น
- ภาษาไทยมาตรฐาน ใช้ สิ นะ คะ ครับ
- ภาษาไทยถิ่นใต้ ใช้ หา เล่า ตะ เหอ
- ภาษาไทยถิ่นอีสาน ใช้ เด้อ นอ แน แม
- ภาษาไทยถิ่นเหนือ ใช้ เจ้า กอ อื่อ กา
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)














