วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2554

สังคม

การพัฒนาสังคม หมายถึง..

การพัฒนาสังคม
ความหมายของการพัฒนาสังคม
การพัฒนาสังคม หมายถึง การกระทำเพื่อมุ่งปรับปรุงส่งเสริมให้คนที่อยู่ร่วมกัน มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ทั้งในด้าน
วัตถุและจิตใจอันจะทำให้การดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันนั้นมีความเจริญรุ่งเรืองและสงบสุขแต่การที่บุคคลจะดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข
จะต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่างประกอบกัน อย่างน้อยที่สุดจะต้องมีปัจจัยขั้นพื้นฐานที่ดีพอสมควร กล่าวคือ มีที่อยู่อาศัย มีอาหารเพียงพอ
แก่การเลี้ยงชีพ มีเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่มสมควรแก่สภาพและฐานะ เวลาเจ็บป่วยควรจะได้รับการรักษาพยาบาล มีอาชีพมั่นคง มีรายได
้เพียงพอแก่ค่าใช้จ่ายในการครองชีพ มีความรักใคร่สมานสามัคคีกันของสมาชิกในสังคมและปราศจากภัยคุกคามจากโจรผู้ร้าย ฯลฯ
สิ่งเหล่านี้จะเกิดมีขึ้นได้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย โดยอาศัยวิธีการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้าช่วย เพื่อให้เกิด
ความเจริญก้าวหน้าและอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
ความสำคัญของการพัฒนาสังคม
เมื่อบุคคลมาอยู่รวมกันเป็นสังคม ปัญหาก็ย่อมจะเกิดตามมาเสมอ ยิ่งสังคมมีขนาดใหญ่ ปัญหาก็ยิ่งจะมีมากและสลับซับซ้อน
เป็นเงาตามตัว ปัญหาหนึ่งอาจจะกลายเป็นสาเหตุของอีกหลายปัญหาเกี่ยวโยงกันไปเป็นลูกโซ่ ถ้าปล่อยไว้ก็จะเพิ่มความรุนแรง เพิ่ม
ความสลับซับซ้อน และขยายวงกว้างออกไปเรื่อย ๆ ยากต่อการแก้ไข ความสงบสุขของประชาชนในสังคมนั้นก็จะไม่มี


 
1. ทำให้ปัญหาของสังคมลดน้อยลงและหมดไปในที่สุด
2. ป้องกันไม่ให้ปัญหานั้นหรือปัญหาในลักษณะเดียวกันนั้นเกิดขึ้นแก่สังคมอีก
3. ทำให้เกิดความเจริญก้าวหน้าขึ้นมาแทน
4. ทำให้ประชาชนในสังคมสมานสามัคคีและอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขตามฐานะของแต่ละบุคคล
5. ทำให้เกิดความเป็นปึกแผ่นมั่นคงของสังคม
แนวคิดในการพัฒนาสังคม
การพัฒนาสังคมมีขอบเขตกว้างขวาง เพราะปัญหาของสังคมมีมากและสลับซับซ้อน การแก้ปัญหาสังคมจึงต้องทำอย่าง
รอบคอบ และต้องอาศัยความร่วมมือกันของบุคคลจากหลาย ๆ ฝ่าย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนในสังคมนั้น ๆ จะต้องรับรู้
พร้อมที่จะให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเข้ามามีส่วนร่วมด้วยเสมอ การพัฒนาสังคมจึงต้องเป็นทั้งกระบวนการ วิธีการ กรรมวิธีเปลี่ยนแปลง
และแผนการดำเนินงาน กล่าวคือ
1. เป็นกระบวนการ (Process) เพราะการแก้ปัญหาสังคมต้องกระทำต่อเนื่องกันอย่างมีระบบ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
จากลักษณะหนึ่งไปสู่อีกลักษณะหนึ่ง ซึ่งจะต้องเป็นลักษณะที่ดีกว่าเดิม
2. เป็นวิธีการ (Method) คือต้องกำหนดวิธีการในการดำเนินงาน โดยเฉพาะเน้นความร่วมมือของประชาชนในสังคมนั้นกับ
เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลที่จะทำงานร่วมกัน และวิธีการนี้ต้องเป็นที่ยอมรับว่าสามารถนำการเปลี่ยนแปลงมาสู่สังคมได้อย่างถาวรและม
ีประโยชน์ต่อสังคม
3. เป็นกรรมวิธีเปลี่ยนแปลง (Movement) การพัฒนาสังคมจะต้องทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงให้ได้และจะต้องเปลี่ยนแปลง
ไปในทางที่ดีขึ้น โดยเฉพาะเน้นการเปลี่ยนแปลงทัศนคติของตน เพื่อให้เกิดสำนึกในการมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อผลประโยชน์ของส่วน
รวม และรักความเจริญก้าวหน้าอันจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางวัตถุ
4. เป็นแผนการดำเนินงาน (Planning) การพัฒนาสังคมจะต้องทำอย่างมีแผนมีขั้นตอน สามารถตรวจสอบและประเมินผลได้
แผนงานนี้จะต้องมีทุกระดับ นับตั้งแต่ระดับชาติ คือ แผนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ลงมาจนถึงระดับผู้ปฏิบัติ แผนงานมี
ความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งในการพัฒนาสังคม
การพัฒนาด้านสังคมไทย
การพัฒนาสังคมของไทยนั้นได้กระทำไปพร้อม ๆ กันทั้งสังคมในเมืองและสังคมชนบท แต่เนื่องจากสังคมชนบทเป็นที่อย
ู่อาศัยของชนส่วนใหญ่ของประเทศ การพัฒนาจึงทุ่มเทไปที่ชนบทมากกว่าในเมืองและการพัฒนาสังคมจะต้องพัฒนาหลาย ๆ ด้าน
ไปพร้อม ๆ กัน โดยเฉพาะที่เป็นปัจจัยต่อการพัฒนาด้านอื่น ๆ ได้แก่ การศึกษาและการสาธารณสุข
การพัฒนาด้านการศึกษา
การศึกษาเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดประการหนึ่งในการวัดความเจริญของสังคม สำหรับประเทศไทย การพัฒนาด้านการศึกษายัง
นับว่าไม่เจริญก้าวหน้าอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมชนบทของไทยจะพบประชาชนที่ไม่รู้หนังสืออยู่ค่อนข้างมาก นโยบาย
หลักที่สำคัญของรัฐบาลประการหนึ่งในการรณรงค์ให้สภาพการไม่รู้หนังสือนั้นหมดสิ้นไป เป็นภารกิจที่อยู่ในความรับผิดชอบของ
ประชาชนไทยทุกคนในชาติ
ความสำคัญของการศึกษาที่มีต่อบุคคลและสังคม
การศึกษาก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี ทำให้คนมีความรู้ ความเข้าใจ ในวิทยาการใหม่ ๆ กระตุ้นให้เกิด
ความคิดสร้างสรรค์ ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง ตลอดทั้งมีเหตุผลในการแก้ปัญหาต่าง ๆ การพัฒนาด้านการศึกษาก็คือการพัฒนาคุณภาพ
และประสิทธิภาพของบุคคล และเมื่อบุคคลซึ่งเป็นสมาชิกของสังคมมีคุณภาพแล้วก็จะทำให้สังคมมีการพัฒนาตามไปด้วย
ประเทศไทยได้ตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษาและเริ่มพัฒนาแนวความคิดในการพัฒนาการศึกษาแผนใหม่ขึ้น
แนวทางการพัฒนาการศึกษา
การพัฒนาการศึกษาของไทยได้มีการพัฒนามาตลอด ตั้งแต่สมัยพ่อขุนรามคำแหงได้ทรงประดิษฐ์อักษรไทย เมื่อ พ.ศ.
1826 มีการจัดการศึกษาให้กับประชาชนไทย ได้เรียนรู้เกี่ยวกับการอ่านออกเขียนได้ และคิดเลขเป็น จนถึงช่วงปลายสมัยรัชกาลที่ 4
ต่อรัชกาลที่ 5 เป็นระยะที่วัฒนธรรมตะวันตกได้แพร่เข้ามาอย่างกว้างขวาง มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปในหลาย ๆ ด้าน ได้มีการ
พัฒนารูปแบบการศึกษาอย่างรวดเร็ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเล็งเห็นความสำคัญของการศึกษา ได้โปรดให้
จัดตั้งโรงเรียนสำหรับราษฎรสามัญทั่วไป โดยกระทรวงธรรมการ ภายหลังจึงเปลี่ยนชื่อเป็นกระทรวงศึกษาธิการในปัจจุบัน
การพัฒนาการศึกษาในระบบ
การศึกษาในระบบ เป็นการศึกษาที่ได้วางกฎเกณฑ์ระเบียบแบบแผน ตลอดทั้งวิธีการดำเนินงานไว้อย่างแน่นอน เช่น
มีหลักสูตร เนื้อหาสาระในหลักสูตร ระยะเวลาเรียนของแต่ละหลักสูตร คุณสมบัติของผู้เรียน โดยคำนึงถึงผู้ศึกษาจะนำไปใช้ในการ
ประกอบอาชีพ หรือทำการศึกษาต่อในระดับสูงขึ้น ปัจจุบันปรากฏว่าสถานศึกษาที่จัดตามระบบมีอยู่ยังไม่เพียงพอ โดยเฉพาะใน
ชนบททำให้ประชาชนในชนบทเสียโอกาสที่จะศึกษาในระดับที่สูงกว่าการศึกษาภาคบังคับ รัฐบาลก็พยายามสร้างโรงเรียนในระดับ
มัธยมศึกษาให้กระจายไปสู่ท้องถิ่น ทั้งสนับสนุนให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาทุกระดับ แต่ยังไม่เป็นที่เพียงพอและ
ต้องพัฒนากันต่อไป
การพัฒนาการศึกษานอกระบบ
การศึกษานอกระบบ เป็นการจัดการศึกษาตามความต้องการของประชาชนในแต่ละท้องถิ่นหรือของแต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ
ปกติจะเน้นการศึกษาที่ผู้ศึกษาสามารถนำไปใช้ในการดำเนินชีวิตได้โดยตรงและใช้เวลาเรียนไม่นานนัก เป็นการพัฒนาคนให้ม
ีคุณภาพ มีประสิทธิภาพในการทำงานประกอบอาชีพและดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข ซึ่งนับวันการศึกษานอกระบบจะมีความสำคัญ
มากยิ่งขึ้น เพราะเป็นการแก้ปัญหาการศึกษาที่ตรงตามความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง การขยายการให้บริการแก่ประชาชน
อย่างทั่วถึงโดยเฉพาะในชนบท นับได้ว่าเป็นเสริมสร้างการพัฒนาสังคมที่สำคัญยิ่ง
สถาบันที่มีบทบาทต่อการพัฒนาการศึกษา
สถาบันที่สำคัญในการพัฒนาการศึกษา ได้แก่
บ้าน บ้านเป็นสถาบันการศึกษาแห่งแรกของมนุษย์ ซึ่งมีบิดา - มารดา เป็นครูคนแรก เป็นการศึกษาตามธรรมชาติ การสืบ
ทอดวัฒนธรรมและค่านิยมจากครอบครัว
วัด เป็นสถาบันการศึกษาที่สำคัญในอดีต ปัจจุบันวัดก็ยังมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาการศึกษา โดยเฉพาะในด้านศีลธรรม
ศาสนพิธี ขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ
โรงเรียน เป็นสถานที่ให้การศึกษาโดยตรง มีบทบาทสำคัญที่สุดในการพัฒนาการศึกษาในปัจจุบัน โดยเฉพาะการศึกษา
ระดับประถมศึกษาอันเป็นการศึกษาภาคบังคับ และเป็นรากฐานการศึกษาในระดับสูงต่อไป
หน่วยงานอื่น ๆ ทั้งของรัฐและเอกชนมีบทบาทในการพัฒนาการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการศึกษานอกระบบ เช่น
กรมการศึกษานอกโรงเรียน กรมการพัฒนาชุมชน หน่วยงานเอกชนที่มีบทบาทในการส่งเสริมการพัฒนาการศึกษา เช่น สภาสังคม
สงเคราะห์แห่งประเทศไทย สภาสตรีฯ มูลนิธิต่าง
หน่วยงานที่ให้บริการทางการศึกษา
หน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการให้บริการทางด้านการศึกษาให้แก่ชุมชนโดยตรง ก็คือ หน่วยงานที่อยู่ในสังกัดกระทรวง
ศึกษาธิการและทบวงมหาวิทยาลัย กล่าวคือ โรงเรียนประถมศึกษา โรงเรียนมัธยมศึกษา โรงเรียนอาชีวศึกษาเป็นหน่วยงานที่ให้บริการ
ทางการศึกษาในระบบโรงเรียน และศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจังหวัดเป็นหน่วยงานที่ให้บริการทางการศึกษานอกระบบโรงเรียน
ระดับที่ไม่สูงกว่ามัธยมศึกษา วิทยาลัยต่าง ๆ จะเป็นผู้ให้บริการในระดับที่สูงกว่ามัธยมศึกษา เช่น วิทยาลัยครู วิทยาลัยอาชีวศึกษา
เป็นต้น ในระดับปริญญามีมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในสังกัดของทบวงมหาวิทยาลัย กระจายอยู่ทุกภาคของประเทศ
การพัฒนาด้านสาธารณสุข
การสาธารณสุข หมายถึง การป้องกันและรักษาโรค ทำนุบำรุงให้ประชาชนมีสุขภาพและพลานามัยดี มีความสมบูรณ์ทั้งทาง
ร่างกายและจิตใจ สังคมใดจะเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าได้ จำเป็นต้องมีพลเมืองที่มีสุขภาพอนามัยดี อันเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนา
ประเทศ จึงจำเป็นที่จะต้องจัดให้มีการพัฒนาสาธารณสุขขึ้น การสาธารณสุขมีความสำคัญทั้งต่อตัวบุคคลและสังคม
ด้านบุคคล การสาธารณสุขทำให้บุคคลมีสุขภาพอนามัยดี มีร่างกายแข็งแรง สามารถทำงานประกอบอาชีพได้อย่างเต็มที่
สามารถสร้างฐานะครอบครัวให้มั่นคงได้เร็ว และดำรงชีพอยู่อย่างผาสุก
ด้านสังคม บุคคลเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของสังคม เมื่อบุคคลในสังคมเข้มแข็ง มีพลานามัยสมบูรณ์ ก็จะทำให้สังคมนั้น
มีความเข้มแข็งและเจริญก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว ทั้งในด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง การพัฒนาสาธารณสุข นอกจากจะเกิด
ประโยชน์โดยตรงแก่ตัวบุคคลแล้ว จึงยังมีผลดีต่อสังคมโดยส่วนรวมอีกด้วย
การพัฒนาสาธารณสุขของไทย
การพัฒนาสาธารณสุขของไทยได้เริ่มตื่นตัวขึ้นครั้งแรกในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เกิดโรคร้าย
ที่สำคัญได้แก่ ไข้มาลาเรีย อหิวาตกโรค ไข้ทรพิษ ผู้ป่วยมักจะถึงแก่ความตาย จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งโรงพยาบาลขึ้นเป็นแห่ง
แรกในประเทศไทย เมื่อพ.ศ.2431 คือ โรงพยาบาลศิริราช
ต่อมาเมื่อ พ.ศ.2461 ซึ่งเป็นรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงจัดตั้งกรมสาธารณสุขขึ้นใน
กระทรวงมหาดไทย ทำให้งานสาธารณสุขขยายวงกว้างออกไปสู่ภูมิภาคมากขึ้น กรมสาธารณสุขได้ยกฐานะขึ้นเป็นกระทรวง
สาธารณสุข โดยมีแนวทางในการพัฒนาสาธารณสุขของไทย มุ่งแก้ปัญหาสำคัญ 4 ประการ คือ
1. ปัญหาด้านสาธารณสุขมูลฐาน ดำเนินการให้ความรู้และเผยแพร่ข่าวสารเกี่ยวกับสาธารณสุขให้แก่ประชาชน โดยเฉพาะ
ผู้ที่อยู่ในชนบทห่างไกล เพื่อให้ประชาชนรู้จักรักษาสุขภาพของตนเองให้แข็งแรงอยู่เสมอ
2. ปัญหาการรักษาพยาบาล รัฐบาลได้พยายามจัดตั้งโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นทุกปี โดยมีเป้าหมายที่จะให้มีโรงพยาบาลขนาด
ใหญ่เป็นศูนย์กลางพยาบาลประจำอยู่ทุกภาค
3. ปัญหาการค้นคว้าและเทคนิคการแพทย์ รัฐบาลเร่งส่งเสริมให้มีการศึกษาค้นคว้าหาวิธีการต่าง ๆ สำหรับใช้ในการ
ตรวจพิสูจน์โรคให้มีประสิทธิภาพยิ่ง ๆ ขึ้น ปัจจุบันการแพทย์ไทยได้รับการยกย่องว่ามีความรู้ความสามารถในการตรวจรักษาไม่แพ้
การแพทย์ของต่างประเทศ
4. ปัญหาการขาดแคลนแพทย์พยาบาล เนื่องจากอัตราการเกิดของประชากรกับอัตราการผลิตแพทย์ของไทยไม่สมดุลกัน
แหล่งบริการด้านสาธารณสุข ได้กระจายหน่วยบริการออกไปให้บริการแก่ประชาชน ดังนี้
1. ระดับหมู่บ้าน มีเจ้าหน้าที่ผู้สื่อข่าวสาธารณสุข (ผสส.) และอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ทำหน้าที่ให้บริการ
2. ระดับตำบล มีเจ้าหน้าที่สาธารณสุขประจำตำบลอยู่ที่สถานีอนามัยประจำตำบล
3. ระดับอำเภอ มีเจ้าหน้าที่สาธารณสุขประจำอยู่ทุกอำเภอ
4.ระดับจังหวัด มีนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด เป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่งในปัจจุบันมีโรงพยาบาลประจำจังหวัดทุกจังหวัดคอยให้
บริการแก่ประชาชนได้อย่างทั่วถึง
การรวมกลุ่มและการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนา
การพัฒนาสังคม เป็นการดำเนินงานเพื่อแก้ปัญหาของสังคมให้มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น การแก้
ปัญหานั้นจำเป็นจะต้องรู้ถึงสาเหตุของปัญหานั้นอย่างแท้จริง จึงจะสามารถทำงานให้บรรลุผลได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิผล และ
ปัญหาของสังคมจะไม่มีใครรู้ดีไปกว่าคนในสังคมนั้นเอง ดังนั้นการเข้ามีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาจึงนับว่ามีความจำเป็น
อย่างยิ่ง และการเข้ามีส่วนร่วมของประชาชนจะส่งเสริมให้งานดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นก็โดยการรวมกันเป็นกลุ่ม
ลักษณะของการรวมกลุ่ม เป็นการร่วมมือร่วมใจของคนหลาย ๆ คนช่วยกันปฏิบัติงานตามหน้าที่โดยมีการประสานงาน
กันสนับสนุนกัน ทำหน้าที่แทนกันได้ และมีความรับผิดชอบร่วมกัน โดยเข้าใจวัตถุประสงค์ของการทำงานนั้นไปในทางเดียวกัน
การรวมกลุ่มที่ดีควรเป็นดังนี้
1. ทุกคนเข้าใจและเต็มใจที่เอาตัวเข้าไปผูกพันในงานที่จะทำ
2. ทุกคนมีส่วนร่วมในการวางแผนงาน และให้ทุกคนเข้าใจและทำงานไปตามขั้นตอนของแผนนั้น หากมีปัญหาอุปสรรคใด ๆ
ก็ช่วยกันพิจารณาแก้ไข
3. ต้องกำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบของแต่ละคนไว้อย่างแจ้งชัด เพื่อช่วยกันทำงานให้เชื่อมประสานกัน
4. ต้องถือว่าทุกคนมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เวลาประชุมปรึกษาหารือจะต้องเปิดโอกาสให้ทุกคนแสดงความคิดเห็น
ของตนอย่างเต็มที่และเสรี
5. ผลสำเร็จของงานต้องถือว่าเป็นผลสำเร็จของทุกคน
บทบาทของผู้นำกลุ่ม ผู้นำจะต้องเป็นแบบฉบับที่ดีเป็นที่เชื่อถือของผู้ตาม ทั้งในด้านความประพฤติส่วนตัวและการปฏิบัติ
งาน จะต้องไม่เผด็จการหรือถือตัวเองสำคัญกว่าคนอื่น พร้อมที่จะรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น และจะต้องเป็นผู้ฟังที่ดีด้วย ให้ผู้ตามเขา
ตามด้วยความเลื่อมใสศรัทธา ผู้นำจะต้องทำงานเป็นปากเป็นเสียงแทนสมาชิกกลุ่ม
บทบาทของผู้ตาม ผู้ตามที่ดีจะต้องร่วมทำงานด้วยเหตุผล จะต้องคอยสอดส่องติดตามการทำงานของผู้นำ (แต่มิใช่คอยจับ
ผิด) คอยให้สติ เพราะผู้นำอาจทำผิดพลาดนอกเหนือจากที่ได้รับมอบหมายจากกลุ่ม มิฉะนั้นผลอาจจะตกแก่กลุ่มโดยที่มิใช่วัตถุ
ประสงค์ของกลุ่มที่แท้จริง ผู้นำกับผู้ตามจะต้องสนับสนุนและประสานงานกันอยู่เสมอ พร้อมทั้งให้เกียรติซึ่งกันและกัน
บทบาทของกลุ่มในการพัฒนา การทำงานเป็นกลุ่มสามารถทำงานใหญ่ ๆ ให้สำเร็จได้อย่างมีประสิทธิผลยิ่งกว่าการทำงาน
แบบใช้คน ๆ เดียว
บทบาทของสตรีในการพัฒนา ปัจจุบันสตรีมีบทบาทในทางสังคมเท่าเทียมกับชายทุกประการ ในสังคมชนบทได้มีการ
จัดตั้งกลุ่มสตรีหรือกลุ่มแม่บ้านขึ้นช่วยงานพัฒนามากมาย โดยเฉพาะการพัฒนาขั้นพื้นฐานความเป็นอยู่ในครอบครัว สตรีมีบทบาท
สำคัญที่สุด
บทบาทของเยาวชนในการพัฒนา เยาวชนเป็นวัยแรงงานที่มีค่ามากในสังคมชนบทของไทยมีเยาวชนจำนวนไม่น้อยที่ไม่
มีโอกาสได้รับการศึกษาในระดับสูง ๆ และไม่มีงานที่จะทำ รัฐจึงพยายามจัดตั้งกลุ่มเยาวชนขึ้นแทบทุกตำบล อบรมให้รู้จักการทำงาน
ร่วมกัน ช่วยกันพัฒนาท้องถิ่นของตน เยาวชนเหล่านั้นสามารถทำงานเพื่อส่วนรวมได้อย่างดี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น